สุดสัปดาห์หยุดยาวที่ผ่านมา ตำแหน่งแชมป์ยังคงเป็นของหนังแอ็กชั่นกลางเวหาภาคต่อ อย่าง Top Gun: Maverick ที่นอกจากจะครองอันดับ 1 เอาไว้ได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน กระแสปากต่อปากที่ดีเยี่ยมและวันหยุดที่เพิ่มเข้ามายังช่วยให้หนังทำเงินสุดสัปดาห์นี้ในเขตกรุงเทพฯ, ปริมณฑล และเชียงใหม่ไปอีกถึง 21.54 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์แรกเพียง 12% เท่านั้น! น้อยที่สุดในกลุ่มหนังเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกมากกว่ายี่สิบล้านบาทรอบสองปีนี้) ซึ่งเป็นรายได้สุดสัปดาห์ที่สองสูงอันดับ 2 ของบ้านเราปีนี้ (ตามหลัง Doctor Strange in the Multiverse of Madness ที่ 31 ล้านบาทเพียงเรื่องเดียว) และสูงเป็นอันดับ 4 ของบ้านเราในรอบสามปี (ตามหลัง Godzilla vs. Kong ที่ 28 ล้านบาท) ส่วนรายได้รวมสองสัปดาห์ ทำไปแล้วทั้งสิ้น 59.39 ล้านบาท ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 3 หนังทำเงินรวมสูงสุดของบ้านเราปีนี้ (แซง The Batman ที่ 51 ล้านบาท) และกระโดดเข้าสู่ Top 10 หนังทำเงินสูงสุดของบ้านเราในรอบสองปีเรียบร้อยแล้ว (มาอยู่อันดับที่ 7 แทนที่ ร่างทรง ที่ 54 ล้านบาท)

ด้านหนังซูเปอร์สุดฮิตจากค่าย Marvel อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness ยังคงอยู่ในอันดับที่ 2 เช่นเดิม กับรายได้สุดสัปดาห์นี้ที่ทำไปอีก 3.23 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์ก่อนเพียง 34% เท่านั้น) ซึ่งเป็นรายได้สุดสัปดาห์ที่ห้าสูงที่สุดของบ้านเราในรอบปีนี้ (แซง Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore ที่ 9 แสนบาท) และสูงที่สุดของบ้านเราในรอบ 4 ปีนี้ (สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่หนังซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย DC อย่าง Aquaman เคยทำเอาไว้เมื่อปี 2018 ที่ 3.5 ล้านบาท) ส่วนรายได้รวมห้าสัปดาห์ ทำไปแล้วทั้งสิ้น 218.85 ล้านบาท
เช่นเดียวกับยอดนักสืบจิ๋วโคนันฉบับเดอะมูฟวี่ภาคล่าสุด อย่าง Detective Conan: The Bride of Halloween ยังคงเกาะอันดับ 3 เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นเช่นกัน จากรายได้สุดสัปดาห์นี้ที่ทำไปอีก 2.3 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์แรกครึ่งหนึ่งพอดี ที่ 50%) ซึ่งเป็นรายได้สุดกสัปดาห์ที่สองสูงที่สุดของหนังเอเชียที่เข้าฉายในบ้านเรารอบสองปีนี้ (แซงเดอะมูฟวี่ภาคก่อน อย่าง Detective Conan: The Scarlet Bullet ซึ่งเคยทำเอาไว้ที่ 1.4 ล้านบาท) และทำเงินรวมสองสัปดาห์ไปแล้ว 9.88 ล้านบาท กลายเป็นหนังเอเชียทำเงินสูงสุดในรอบปีนี้ และขึ้นแท่นเป็นหนังโคนันเดอะมูฟวี่ภาคที่ทำเงินในเขตกรุงเทพฯ, ปริมณฑล และเชียงใหม่สูงที่สุดตลอดกาลในบ้านเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (รับไม้ต่อมาจากภาค The Scarlet Bullet ทั้งสองสถิติ ที่ 8.3 ล้านบาท)

ส่วนหนังใหม่อีก 6 เรื่องที่เปิดตัวเข้ามาใน Top 10 สุดสัปดาห์นี้ ประกอบไปด้วย Shark Bait หนังเอาชีวิตรอดจากฉลามโหดกลางทะเล ทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในบ้านเราไป 1.7 ล้านบาท กลายเป็นหนังฉลามทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงที่สุดในบ้านเรารอบสามปีนี้ (นับตั้งแต่ 47 Meters Down: Uncaged เคยเปิดตัวเอาไว้เมื่อปี 2019 ที่ 9 ล้านบาท)

หนังไทยแนวสยองขวัญสามตอนย่อย รวมทีมนักแสดงเอเชียหลากสัญชาติ อย่าง ร้านของเก่า The Antique Shop ทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไปที่ 1.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงอันดับ 9 ของหนังไทยปีนี้ (ตามหลัง ภาพหวาด ที่ 1.7 ล้านบาท) และสูงเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มหนังสยองขวัญที่เข้าฉายในบ้านเราปีนี้ (ตามหลัง ภาพหวาด อีกเช่นกัน)

หนังญี่ปุ่นเรียกน้ำตา อย่าง The Last 10 Years ที่เข้าฉายรอบพิเศษในบ้านเรามาก่อนหน้านี้แล้ว ทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไปที่ 1.55 ล้านบาท กลายเป็นหนังคนแสดงญี่ปุ่นทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงสุดของบ้านเราในรอบปีนี้ (แทนที่ Cube ฉบับรีเมค ที่ 6 แสนบาท) และสูงที่สุดในกลุ่มหนังคนแสดงญี่ปุ่นที่เข้าฉายในบ้านเรารอบห้าปีนี้ (สูงสุดนับตั้งแต่ Tomorrow I Will Date with Yesterday’s You ผลงานอีกหนึ่งเรื่องของนางเอกสาว Nana Komatsu เคยทำเอาไว้เมื่อปี 2017 ที่ 2.2 ล้านบาท) ส่วนรายได้รวมรอบพิเศษสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทำไปแล้วทั้งสิ้น 1.84 ล้านบาท (กลายเป็นหนังคนแสดงญี่ปุ่นทำเงินรวมสูงสุดของบ้านเราในรอบปีนี้เรียบร้อยแล้ว)

หนังย้อนยุคจากเรื่องราวของภารกิจลับที่เคยเกิดขึ้นจริงช่วงสงครามโลก อย่าง Operation Mincemeat ทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในบ้านเราไปที่ 5.3 แสนบาท

หนังดราม่า-ไซไฟคำวิจารณ์จากค่าย A24 อย่าง After Yang ที่เข้าฉายรอบพิเศษไปตั้งแต่สัปดาห์ ทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไปที่ 4.4 แสนบาท และทำเงินรวมรอบพิเศษไปแล้ว 5.3 แสนบาท

และซีรี่ส์ยอดมนุษย์อุลตร้าแมนฉบับขึ้นจอใหญ่ อย่าง Ultra Galaxy Fight: The Destined Crossroad ทำเงินเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในบ้านเราไป 3.5 แสนบาท (แซงหนังโรงอุลตร้าแมนเรื่องก่อนหน้านี้ อย่าง Ultraman Taiga The Movie: New Generation Climax ซึ่งเคยทำเงินเปิดตัว 6 วันไปทั้งสิ้น 3.3 แสนบาท)

Top 10 สุดสัปดาห์นี้ ทำเงินรวมกันไปทั้งสิ้น 33.4 ล้านบาท
ลดลงจาก Top 10 สุดสัปดาห์ก่อนเล็กน้อย ที่ 11% (37.8 ล้านบาท)
โดยสุดสัปดาห์เดียวกันของช่วงปีก่อนนั้น โรงหนังในเขตกรุงเทพฯ ยังคงหยุดให้บริการเช่นเดิม

อ้างอิงตัวเลขรายได้จาก – ชมรมวิจารณ์บันเทิง