กลายเป็นช่วงเวลาทองของหนังแอนิเมชั่นอีกครั้ง เมื่อภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดฮิต อย่าง Frozen 2 ก้าวขึ้นมานั่งบนบัลลังก์แชมป์ได้ตามคาด ด้วยรายได้เปิดตัววันแรกที่สูงถึง 9.92 ล้านบาท ทุบสถิติเป็นหนังแอนิเมชั่นจากค่าย Walt Disney Animation Studios เปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดกาลในบ้านเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรวมไปถึงทำเงินแซง Frozen ภาคแรก ที่เคยทำเงินวันแรกเอาไว้ตรงกับวันพ่อแห่งชาติไปเกือบเท่าตัวอีกด้วย (ที่ 5 ล้านบาท) ส่วนในกลุ่มหนังแอนิเมชั่นด้วยกัน นอกจากเอลซ่าจะสามารถกระโดดขึ้นมาถึงอันดับที่ 3 หนังแอนิเมชั่นเปิดตัววันแรกสูงสุดของปีนี้ ยังตามเพื่อนๆ อีกสองเรื่องในปีนี้ กระโดดเข้าสู่ Top 5 หนังแอนิเมชั่นเปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดกาลในบ้านเราได้อีกด้วย ตามหลังหนังที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสับสนว่าควรจะอยู่ในหมวดหนังแอนิเมชั่นหรือไม่ (จากเทคนิคการสร้างแอนิเมชั่นแบบโมชั่นแคปเจอร์เกือบทั้งเรื่อง นำเสนอให้ออกมาดูสมจริงเหมือนหนังไลฟ์-แอ็คชั่น) อย่าง The Lion King , หนังปิดไตรภาคอย่าง How to Train Your Dragon: The Hidden World และหนังภาคแยกของเจ้าตัวเหลือง Minions ซึ่งต่างก็เคยขึ้นแท่นเป็นแอนิเมชั่นเปิดตัววันแรกสูงสุดในบ้านเรากันมาแล้วทั้งสามเรื่อง (ที่ 15 , 13 และ 11 ล้านบาท ตามลำดับ)

อีกหนึ่งหนังใหม่ ตามมาในอันดับที่สอง กับหนังไทยร่วมทุน ดัดแปลงจากเรื่องจริงของภารกิจช่วยชีวิตทีมฟุตบอลเยาวชน “หมูป่าอะคาเดมี่” อย่าง The Cave นางนอน ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับลูกครึ่งไอริช-ไทย คุณทอม วอลเลอร์ เปิดตัววันแรกในบ้านเราไป 1.1 ล้านบาท โดยเป็นหนังไทยเปิดตัววันแรกเกินหลักล้านเรื่องที่ 16 ของปีนี้ (และเปิดตัววันแรกสูงเป็นอันดับที่ 15 ในกลุ่มหนังไทยปีนี้ด้วยกัน ตามหลัง ดิว ไปด้วยกันนะ ที่ 1.13 ล้านบาท) และเปิดตัวได้ใกล้เคียงกับหนังดัดแปลงจากเหตุภัยพิบัติซึ่งเกิดขึ้นไทยประเทศไทยอีกหนึ่งเหตุการณ์ อย่างคลื่นยักษ์สึนามิถล่มเข้าชายฝั่งทางภาคใต้เมื่อปี 2547 ใน The Impossible (ทำเงินวันแรกเมื่อ 7 ปีก่อนไป 1.6 ล้านบาท) รวมไปถึงเป็นหนังเปิดตัววันแรกสูงสุดในเครดิตของคุณทอม วอลเลอร์ (เรื่องที่เคยเปิดตัวสูงสุดคือหนังแนวสืบสวน อย่าง ศพไม่เงียบ ที่ 6 แสนบาท)
แชมป์เก่าเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน อย่าง จอมขมังเวทย์ 2020 เก็บเงินวันพฤหัสนี้ไปอีก 7 แสนบาท (ลดลงจากวันพฤหัสแรก 75%) และทำเงินรวมแปดวันไปแล้ว 17.19 ล้านบาท กระโดดเข้าสู่ Top 10 หนังไทยทำเงินสูงสุดของปีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (มาอยู่อันดับ 7 ตามหลังหนังรอม-คอมไทบ้าน ออนซอนเด ไม่ไกลนัก ที่ 19 ล้านบาท)
หนังแอ็คชั่นขายเทคนิคพิเศษ อย่าง Gemini Man ทำเงินวันพฤหัสนี้ไปอีก 4.8 แสนบาท (ลดลงจากวันพฤหัสแรก 77%) และทำเงินรวมแปดวันไปแล้ว 14.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนังทำเงินสูงอันดับ 3 ในรอบห้าปีที่ผ่านมาของพระเอกวิลล์ สมิธ (แต่รายได้ถือว่าตามหลังสองอันดับแรก อย่าง Aladdin และ Suicide Squad ค่อนข้างห่างไกลทีเดียว เพราะทั้งสองเรื่องปิดรายได้เอาไว้แถวๆ โซนร้อยล้านด้วยกันทั้งคู่)
หนังใหม่อีกหนึ่งเรื่อง ที่ผนวกพล็อตความสยองเข้ากับแอปพลิเคชั่นในมือถือ อย่าง Countdown เปิดตัววันแรกในบ้านเราไป 3.4 แสนบาท ซึ่งแทบจะเท่ากับรายได้วันแรกของหนังที่มีพล็อตคล้ายๆ กัน อย่าง Polaroid แบบเป๊ะๆ เลยทีเดียว (ที่ 3.4 แสนบาทเช่นกัน)
หนังจีนกำลังภายในของพระเอกหนุ่ม เซียวจ้าน อย่าง Jade Dynasty ทำเงินวันพฤหัสนี้ไปอีก 1.7 แสนบาท (ลดลงจากวันพฤหัสแรก 87%) และทำเงินรวมแปดวันไปแล้ว 7.22 ล้านบาท กระโดดเข้าสู่ Top 10 หนังเอเชียทำเงินสูงสุดในบ้านเราเรียบร้อยแล้ว (มาอยู่ในอันดับที่ 7 แทนที่หนังของบอยแบนด์ K-Pop ชื่อดัง วง BTS อย่าง Bring The Soul: The Movie ที่ 7 ล้านบาท) และมีลุ้นทะยานขึ้นไปเป็นหนังจีนทำเงินสูงสุดในบ้านเราปีนี้ในอีกไม่ช้านี้ด้วย (ตามหลังหนังแฟนตาซี The Knight of Shadows: Between Yin and Yang ของพระเอกเฉินหลงไม่ถึงหลักล้านบาทแล้ว)
หนังสงครามโลกมันสนั่นจอ อย่าง Midway ทำเงินวันพฤหัสนี้ไปอีก 1 แสนบาท (ลดลงจากวันพฤหัสที่แล้ว 81%) และทำเงินรวมสิบห้าวันไปแล้ว 20.16 ล้านบาท เข้าสู่ Top 5 หนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองทำเงินสูงสุดในบ้านเราในรอบสิบปีที่ผ่านมาไปแล้ว (อยู่อันดับที่ 4 ตามหลัง The Imitation Game อีกเพียงหลักแสนบาท)
หนังภาคต่อ Doctor Sleep เก็บเงินวันพฤหัสนีไปอีก 3 หมื่นบาท (ลดลงจากวันพฤหัสที่แล้ว 86%) และทำเงินรวมสิบห้าวันไปแล้ว 6.8 ล้านบาท จากรายได้ที่โรยราลงไปพอสมควรเลยทำให้โอกาสที่จะไล่ตามอีกหนึ่งหนังสยองขวัญดัดแปลงจากนิยายของสตีเฟ่น คิงในปีนี้เช่นกัน อย่าง Pet Sematary แทบจะริบหรี่ลงไปทุกที (ยังตามหลังอยู่อีกหลักล้านบาท)
และหนังไทยเรื่องใหม่อีกหนึ่งเรื่อง กับเรื่องราวรักสามเส้าในบรรยากาศต่างแดน อย่าง The One You Love รักนี้คือเธอ ทำเงินเปิดตัววันแรกไป 2.9 หมื่นบาท โดยหนึ่งในผู้กำกับของเรื่องนี้ คือคุณชัยวัฒน์ สีตลาศัย มีหนังเข้าฉายไปแล้วในปีนี้ นั่นคือเรื่อง บุษบา (เปิดตัววันแรกที่ 3 แสนบาท)
