ถึงเวลาภาคต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ตระกูลดังอย่าง X-Men: Dark Phoenix กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ไปได้ตามคาด ด้วยรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรก 32.86 ล้านบาท แม้จะสูงในระดับ Top 10 รายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงสุดของปีนี้อยู่ (ซึ่งก็หวุดหวิดอยู่เหมือนกัน โดยอยู่ในอันดับที่ 9 ตามหลัง Aladdin ที่ 34 ล้านบาท) แต่ในกลุ่มหนังจากตระกูล X-Men ด้วยกัน น่าเสียดายที่ดาร์ก ฟีนิกซ์ถือการส่งท้ายที่ค่อนข้างจะเงียบเหงากว่าที่คิด เพราะนอกจากจะกลายเป็นภาคที่เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกน้อยที่สุดในบรรดา X-Men ภาคหลัก (น้อยกว่า X-Men: First Class ซึ่งเคยเปิดตัวไป 34 ล้านบาท) ยังเกือบเป็นภาคที่เปิดตัวน้อยที่สุดในหนังจักรวาลหนัง X-Men อีกด้วย (เรื่องเดียวที่น้อยกว่าคือหนังเดี่ยวภาคแรกของเฮียวูล์ฟเวอรีนอย่าง X-Men Origins: Wolverine ซึ่งเคยทำเอาไว้ที่ 30 ล้านบาท)

แชมป์เก่าเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนอย่าง Godzilla: King of the Monsters ที่ได้รับผลกระทบจากการมาของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ค่อนข้างหนัก เก็บเงินสุดสัปดาห์นี้ไปอีก 10.72 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์แรกถึง 77% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มหนังที่เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกเกินสิบล้านของปีนี้ด้วยกัน มากกว่า John Wick: Chapter 3 – Parabellum ซึ่งเคยทำเอาไว้ที่ 74%) และทำเงินรวมสองสัปดาห์ไปแล้ว 78.32 ล้านบาท สถานการณ์แทบไม่แตกต่างจาก Godzilla ฉบับปี 2014 มากเท่าไหร่ (ณ ตอนนั้นฉายชนกับ X-Men: Days of Future Past ในสุดสัปดาห์ที่สองเหมือนกันอีก!) ซึ่งก็เก็บเงินสุดสัปดาห์ที่สองไป 10 ล้านบา่ทเท่ากันด้วย และทำเงินรวมสองสัปดาห์ไปพอๆ กันอีก ที่ 75 ล้านบาท ทำให้โอกาสที่ก็อดซิลล่าภาคนี้จะทะยานขึ้นไปถึงหลักร้อยล้าน เริ่มเลือนลางลงมาพอสมควร
ผิดกับหนังแฟนตาซีจากค่ายดิสนี่ย์อย่าง Aladdin ที่ยังคงได้กระแสปากต่อปากพยุงรายได้เอาไว้อย่างต่อเนื่องแม้จะต้องชนกับหนังฟอร์มยักษ์ โดยเก็บเงินสุดสัปดาห์นี้ไปอีก 9.08 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์ก่อนเกินครึ่งไปไม่มาก ที่ 56%) ซึ่งเป็นรายได้สุดสัปดาห์ที่สามสูงเป็นอันดับ 4 ของปีนี้ (ตามหลัง Avengers: Endgame, Captain Marvel และ Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน ซึ่งทำเอาไว้ในระดับเกินสิบล้านทั้งสามเรื่อง) และทำเงินรวมสามสัปดาห์ไปแล้ว 94.74 ล้านบาท แทบจะการันตีตำแหน่งหนังร้อยล้านให้กับอะลาดินในไม่ช้านี้ได้แล้ว หลังจากที่รายได้รวมสามสัปดาห์พลิกกลับมาแซง Bumblebee ได้อีกครั้ง เมื่อเทียบกันในช่วงเวลาที่เท่ากัน (ทำเงินสามสัปดาห์ไป 92 ล้านบาท)
อีกหนึ่งหนังใหม่ในสุดสัปดาห์นี้คือภาคต่อแอนิเมชั่นแก๊งสัตว์เลี้ยง The Secret Life of Pets 2 ทำเงินสุดสัปดาห์แรกไป 9 ล้านบาท ซึ่งถือว่ากระเตื้องจากวันแรกมากพอสมควร จนทำให้แก๊งสัตว์เลี้ยงของเรา กลายเป็นหนังแอนิเมชั่นเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงเป็นอันดับ 3 ของปีนี้เลยทีเดียว (เป็นรอง How to Train Your Dragon: The Hidden World และ Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งทำเอาไว้เกินยี่สิบล้านบาทกันทั้งคู่เพียงสองเรื่องเท่านั้น) และทำเงินมากกว่าผลงานเรื่องก่อนหน้าของค่าย Illumination เมื่อปีก่อน อย่าง The Grinch ได้อยู่ (เปิดตัวเอาไว้เกือบ 6 ล้านบาท) แต่มองในฐานะหนังภาคต่อก็ต้องถือว่าน่าผิดหวังอยู่พอสมควร เพราะเปิดตัวลดลงจาก The Secret Life of Pets ภาคแรกเมื่อ 3 ปีก่อน เกินครึ่งนึงเลยทีเดียว! (เคยทำเอาไว้สุดสัปดาห์แรกถึง 18 ล้านบาท)
ส่วนเรื่องที่ติดอยู่ในตารางมาอย่างยาวนานอย่าง Avengers: Endgame ก็ถึงคราวที่ต้องหลุดจาก Top 5 เสียแล้ว แม้ในส่วนของรายได้หนังแทบจะไม่เหลือสถิติอะไรให้ต้องลุ้นในรอบปีนี้แล้ว (เก็บเงินสุดสัปดาห์ที่เจ็ดไปอีก 2.9 แสนบาท เป็นรอง Captain Marvel ที่ 8 แสนบาทเพียงเรื่องเดียว และทำเงินรวมไปแล้วทั้งสิ้น 616.96 ล้านบาท) แต่ยังเหลืออีกหนึ่งสถิติให้หนังได้ลุ้นอยู่นั่นคือสถิติติดอยู่ใน Top 10 ยาวนานที่สุดของปีนี้ ซึ่งล่าสุดขึ้นมาคว้าตำแหน่งสูงสุดร่วมกับ Captain Marvel และ Green Book (รวมรอบพิเศษ) ได้แล้วที่ 7 สัปดาห์เท่ากัน
นอกเหนือจากสองหนังใหม่ที่กล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ขอเข้าฉายรอบพิเศษในสุดสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือหนังแวดวงหุ้น The Hummingbird Project ทำเงิน 3 วันไป 6.9 หมื่นบาท จากจำนวนโรงฉายไม่ถึงสิบโรง
และปิดท้ายกันที่หนังร้อนในอดีตของผู้กำกับระดับตำนานแบร์นาโด แบร์โตลุชชี อย่าง The Dreamers ซึ่งกลายเป็นหนังเรื่องเดียวใน Top 10 สุดสัปดาห์นี้ที่ทำเงินลดลงจากสุดสัปดาห์ก่อนไม่ถึงครึ่ง โดยเก็บเงินไปอีก 5.8 หมื่นบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์แรก 42%) และทำเงินรวมไปแล้ว 2.1 แสนบาท

Top 10 สุดสัปดาห์นี้ ทำเงินรวมกันไปทั้งสิ้น 64 ล้านบาท
ลดลงจาก Top 10 สุดสัปดาห์ก่อน 17% (77 ล้านบาท)
และลดลงจาก Top 10 สุดสัปดาห์เดียวกันของปีก่อนถึง 58% (152 ล้านบาท)
ซึ่งเป็นสุดสัปดาห์ที่หนังไดโนเสาร์ภาคต่อ Jurassic World: Fallen Kingdom ปูพรมถล่มโรงคว้าแชมป์ด้วยรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกที่สูงถึง 149 ล้านบาทเลยทีเดียว