สุดสัปดาห์นี้ ถึงคิวของหนังแฟนตาซีฟอร์มเต็งอย่าง Aladdin ขี่พรมวิเศษขึ้นมาคว้าแชมป์ไปครองได้ตามคาด ด้วยรายได้เปิดตัวสี่วันสุดสัปดาห์ที่ 34.4 ล้านบาท (และทำเงินรวม 5 วันไปทั้งสิ้น 39 ล้านบาท) ซึ่งสูงในระดับ Top 10 รายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงสุดของปีนี้ (มาอยู่อันดับที่ 7 ตามหลังหนังแอ็กชั่น-ไซไฟ Alita: Battle Angel ไม่มากนักที่ 37 ล้านบาท) รวมไปถึงเหาะขึ้นมาติด Top 5 ในกลุ่มหนังคนแสดงดัดแปลงมาจากแอนิเมชั่นค่ายดิสนี่ย์เปิดตัวสูงสุดด้วยเช่นกัน (มาหยุดอยู่อันดับที่ 5 พอดี ตามหลังเจ้าหญิงรองเท้าแก้ว Cinderella ไม่มากเช่นกัน ที่ 36 ล้านบาท) และกลายเป็นหนังอะลาดินเวอร์ชั่นที่ทำเงินสูงที่สุดในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อยภายในเวลาสัปดาห์เดียว (เอาชนะทั้งเวอร์ชั่นคนแสดงสัญชาติฝรั่งเศสเมื่อสี่ปีก่อนอย่าง อะลาดินดิ๊งด่อง The New Adventure of Aladin ที่ปิดรายได้ไป 2 ล้านบาท และ Aladdin เวอร์ชั่นการ์ตูนของค่ายดิสนี่ย์เองเมื่อ 27 ปีที่แล้ว! ที่ทำเงินในบ้านเราระดับสถิติหนังแอนิเมชั่นยุคนั้นที่ 10 ล้านบาท) ส่วนในเครดิตของนักแสดงชื่อดังวิลล์ สมิธ อะลาดินถือเป็นหนังเปิดตัวเกินสามสิบล้านบาทในบ้านเราเป็นเรื่องที่ 9 ของเขาเข้าไปแล้ว (ซึ่งก็อันดับที่ 9 หนังเปิดตัวสูงสุดในเครดิตของวิลล์ สมิธด้วยเช่นกัน ตามหลังหนังซูเปอร์ฮีโร่ Hancock ไม่ไกลนัก ที่ 37 ล้านบาท) รวมทั้งทำสถิติเป็นหนังเปิดตัวเกินสามสิบล้านบาทเรื่องแรกในเครดิตของผู้กำกับกาย ริตชี่ในบ้านเราอีกด้วย (เป็นสองเท่าของหนังภาคต่อ Sherlock Holmes: A Game of Shadows ซึ่งเคยเปิดตัวเอาไว้สูงสุดในเครดิตของผู้กำกับที่ 17 ล้านบาท)

แชมป์เก่าเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนอย่าง John Wick: Chapter 3 – Parabellum โดนเบียดลงมาอยู่อันดับสอง กับรายได้สุดสัปดาห์นี้ที่เก็บไปอีก 16.17 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์แรกพอสมควรถึง 74%) หลุดจากตำแหน่ง Top 5 รายได้สุดสัปดาห์ที่สองสูงที่สุดของปีนี้ไปอย่างน่าเสียดาย (มาอยู่อันดับที่ 6 ตามหลังหนังแอนิเมชั่นภาคต่อ How to Train Your Dragon: The Hidden World ที่ 17 ล้านบาท) แต่อย่างน้อยๆ หนังก็ทำรายได้รวมสองสัปดาห์ทะลุหลักร้อยล้านได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (101.19 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ 5 ของปีนี้ที่ขึ้นมาถึงหลักนี้ได้ (และกระโดดขึ้นมาอยู่ใน Top 5 หนังทำเงินสูงสุดของปีนี้ในอันดับที่ 5 แทนที่ Alita: Battle Angel ซึ่งปิดรายได้ไปเกือบร้อยล้าน) และกลายเป็นหนังร้อยล้านเรื่องที่สองในบ้านเราของพระเอกคีอานู รีฟส์ด้วยเช่นกัน (สูงเป็นอันดับ 2 ในเครดิตของพระเอกคีอานูรีฟส์ แทนที่หนังปิดไตรภาค The Matrix Revolutions ที่ 96 ล้านบาท)

เจ้าของตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในไทย อย่าง Avengers: Endgame ทำอีกหนึ่งสถิติในรอบปี เป็นหนังที่ติดอยู่ใน Top 3 ประจำสุดสัปดาห์ยาวนานที่สุดของปีนี้ (ที่ 5 สัปดาห์) ไปแบบเรื่องเดียวเดี่ยวๆ (เอาชนะสถิติเดิมของ Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน และ Captain Marvel ซึ่งทำเอาไว้เท่ากันที่ 4 สัปดาห์) โดยทำเงินสุดสัปดาห์นี้ไปอีก 2.96 ล้านบาท (ลดลงจากสุดสัปดาห์ก่อน 65%) คว้าตำแหน่งรายได้สุดสัปดาห์ที่ห้าสูงสุดของปีนี้ไปอีกหนึ่งตำแหน่ง (แชมป์เก่าเป็นของซูเปอร์ฮีโร่หญิง Captain Marvel เคยทำเอาไว้ที่ 1 ล้านบาท) และกวาดรายได้รวมห้าสัปดาห์ไปแล้วถึง 613.37 ล้านบาท

หนังใหม่อีกสามเรื่องนอกเหนือจากอะลาดินที่เปิดตัวเข้ามาใน Top 10 สุดสัปดาห์นี้ได้เช่นกัน เริ่มกันที่หนังไทยสยองขวัญสามตอนย่อย บางกอก..สยอง เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไป 1 ล้านบาท โดยเป็นหนังสยองขวัญไทยที่เปิดตัวเกินหลักล้านขึ้นมาได้เป็นเรื่องที่ 5 ของปีนี้ ซซึ่งหนึ่งในนั้นมีหนังไทยแนวสยองขวัญสามตอนย่อยอีกเรื่องในรอบปีนี้เช่นกันอย่าง แช่ง เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไป 5 ล้านบาท รวมไปถึงในเครดิตของหนึ่งในนักแสดงหญิงของเรื่องอย่างคุณเชอรีน ณัฐจารี หรเวชกุล ซึ่งร่วมแสดงในอีกหนึ่งหนังไทยแนวสยองขวัญสามตอนย่อยไปเมื่อเมื่อปีก่อนอย่าง ตีสาม After Shock เคยเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไว้ที่ 2 ล้านบาท

หนังตลกสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Belleville Cop เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไป 1.9 แสนบาท (จากจำนวนสิบกว่าโรง) ยังคงเป็นหนังพูดภาษาฝรั่งเศสเปิดตัวสูงเป็นอันดับ 2 ของปีนี้ตามหลังหนังดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง City Hunter (เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไป 1 ล้านบาท) เพียงเรื่องเดียวเช่นเดิม

และหนังไทยเรื่องใหม่อีกหนึ่งเรื่องอย่าง นคร-สวรรค์ เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไป 1.6 แสนบาท (จากจำนวน 5 โรงฉาย)

Top 10 สุดสัปดาห์นี้ ทำเงินรวมกันไปทั้งสิ้น 57 ล้านบาท

ลดลงจาก Top 10 สุดสัปดาห์ก่อน 31% (84 ล้านบาท)

แต่เพิ่มขึ้นจาก Top 10 สุดสัปดาห์เดียวกันของปีก่อน 14% (50 ล้านบาท)

ซึ่งเป็นสุดสัปดาห์ที่ภาคต่อฮีโร่สุดเกรียน Deadpool 2 คว้าแชมป์ต่อเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน จากรายได้ซึ่งลดลงมาจากสุดสัปดาห์แรกพอสมควร ที่ 15 ล้านบาท (โดยมีหนังภาคแรกจากสงครามอวกาศ Solo: A Star Wars Story เปิดตัวตามมาในอันดับสอง ด้วยรายได้ค่อนข้างน่าผิดหวังอยู่ซักหน่อย ที่ 13 ล้านบาท