หนังสารคดีที่เล่าเรื่องราวในชีวิตของยาโยอิ คุซามะ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “คุณป้าลายจุด” ศิลปินหญิงชาวญี่ปุ่นแนวอาว็อง-การ์ด (ล้ำยุคสมัย) ผู้โด่งดังและประสบความสำเร็จไปทั่วโลกจากผลงานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ว่ากว่าเธอจะได้รับการยอมรับดังเช่นทุกวันนี้ เธอต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เริ่มจากชีวิตในวัยเด็กของเธอที่ญี่ปุ่น ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กับเธอจากขนบและแนวคิดทางสังคมที่ผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือนเพื่อแต่งงานเท่านั้น รวมไปถึงบาดแลในใจจากปัญหาครอบครัวที่แตกแยก บีบคั้นให้เธอต้องหนีไปตายเอาดาบหน้าที่อเมริกาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถึงแม้ว่าเธอจะได้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานศิลปะตามที่เธอตั้งใจเอาไว้ เธอก็ยังถูกมองเป็น “คนชายขอบ” ของที่นั่นอยู่ดี ในยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในสังคม และยังมีการเหยียดเชื้อชาติ จนทำให้เธอถูกกีดกันต่างๆ นานา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่ได้รับการยอมรับอย่างที่ควรจะเป็นเสียที

เอาจริงๆ พอเริ่มดูช่วงต้นเรื่องก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันว่าหนังจะออกมาน่าเบื่อ เพราะตัวหนังเน้นไปที่การเล่าเรื่องราวแบบแทบจะเป็นเส้นตรงผ่านการพูดคุยกับบุคคลต่างๆ (รวมไปถึงตัวคุณยาโยอิเอง) โดยแทบจะไม่มีการตัดต่อเพื่อเร้าอารมณ์ หรือลงลึกไปในเหตุการณ์บางช่วงที่ดูน่าสนใจ แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปซักพักแล้วจึงพบว่า การดำเนินเรื่องง่ายๆ เน้นการเล่าเฉพาะเรื่องราวแบบนี้แหละถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพให้แก่คุณยาโยอิจากทีมผู้สร้างโดยที่ไม่พยายามชี้นำคนดูใดๆ ทั้งสิ้น ลำพังแค่เรื่องราวในชีวิตของคุณยาโยอิเองก็มีสีสันและสร้างความเจ็บปวดได้มากพอที่จะสะกดคนดูให้ร่วมติดตามเรื่องราวต่อไปได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว ผ่านแนวคิดทางสังคมตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปจนถึงยุค 90 ที่กลายเป็นแรงกดทับให้เธอต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยวิธีต่างๆ จนถูกสังคมมองเป็นผู้หญิงหัวขบถ , เผยให้เห็นมุมมองทางความคิดหลายๆ อย่างของเธอที่ถือว่า “มาก่อนกาล” สำหรับยุคนั้น รวมไปถึงความมุ่งมั่นกล้าคิดกล้าทำสิ่งต่างๆ ให้ถึงจุดหมายแม้จะต้องผิดหวังไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนถึงขั้นคิดปลิดชีพตัวเองและอาการป่วยทางจิตแย่ลงเรื่อยๆ แล้วก็ตาม

โดยสรุปแล้ว Kusama Infinity เป็นหนังสารคดีที่คนดูไม่จำเป็นต้องรู้จักคุณยาโยอิ คุซามะมาก่อนก็สามารถดูรู้เรื่องได้ ส่วนใครที่ชื่นชอบหรือต้องการศึกษาผลงานของคุณยาโยอิก็น่าจะพอใจไม่น้อย เพราะหนังแทรกผลงานเด่นๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ของเธอเข้ามาให้ดูแบบเต็มอิ่ม (แต่อาจจะไม่อธิบายอะไรลงลึกถึงผลงานต่างๆ มากนัก) ตัวหนังอาจจะไม่ใช่หนังสารคดีที่เล่าเรื่องด้วยลีลาจัดจ้านหวือหวา (แตกต่างกับสารคดีของคุณป้า Westwood ที่เข้าฉายไปเมื่อปีก่อน) และดำเนินเรื่องแบบไม่มีจุดพีค แต่เนื้อของหนังถือว่าไม่น่าเบื่อเลย รวมไปถึงน่าจะสร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับคนดูไม่น้อยในการใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ดั่งเช่นชีวิตของคุณยาโยอิที่ไม่ว่าจะต้องล้มจนท้อแท้หรือเจ็บปวดกี่ครั้ง แต่ถ้าหากหยุดหวังและไม่ลุกขึ้นมาสู้ต่อ คงไม่มีโอกาสได้กลับมายังบ้านเกิดด้วยความรู้สึกที่เป็น “ผู้ชนะ” เช่นนั้นแน่นอน